การดูแลรถหลังลุยน้ำท่วม
วันนี้เราจะมากล่าวถึงสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในการดูแลรถหลังจากที่ไปขับลุยน้ำท่วมกันมานะครับ
ถ้าลุยน้ำท่วมในระดับที่ไม่ลึกมากสักประมาณ 15 ซม. ก็ยังไม่ค่อยน่าเป็นห่วงในเรื่องความเสียหายจากน้ำที่จะเกิดขึ้นกับรถเราและเครื่องยนต์สักเท่าไหร่นะครับ แต่ถ้าลุยน้ำลึกขนาดสักครึ่งล้อ หรือมีความรู้สึกว่ามีน้ำตีอยู่ใต้ท้องรถ พื้นรถในบริเวณห้องโดยสารมีน้ำเข้ามา ถ้าเป็นอย่างนี้ละก้อ เราควรให้ความเอาใจใส่อย่างจริงจังครับ
การเอาใจใส่หมายถึงการตรวจเช็กกับสิ่งที่อาจจะทำให้รถเราเกิดความเสียหายได้ ผมขออนุญาติแนะนำให้ทำตามเป็นข้อๆตามนี้นะครับ
1.ลองดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาตรวจเพื่อดูสีของตัวน้ำมัน ถ้ายังคงเป็นสีดำอยู่เหมือนปกติยังไม่ค่อยต้องกังวลว่าจะมีน้ำเข้ามาภายในเครื่องยนต์ แต่ถ้าดูแล้วน้ำมันเครื่องเป็นสีออกน้ำตาลๆ ถ้าเป็นสีนี้อาจเกิดจากการที่มีน้ำเข้าไปรวมกับน้ำมันเครื่องในแครงค์เก็บน้ำมันเครื่องที่อยู่ตรงบริเวณใต้ท้องรถแล้วละครับ ซึ่งส่วนมากน้ำจะไหลเข้ามาตามรูหายใจ ถ้าลักษณะของน้ำมันเครื่องเป็นสีน้ำตาลอย่างที่บอกนี้ เราต้องนำรถไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองใหม่ทั้งหมดทันทีนะครับ อย่าปล่อย อย่าประมาท เพราะจะเป็นเหตุให้เครื่องยนต์เสียหายมาก จะทำให้เราต้องเสียค่าซ่อมในหลักหมื่นหรือบางทีอาจจะเป็นหลักแสนบาทก็ได้นะครับ
2.รีบเข้าไปให้ช่างตรวจเช็กน้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย ว่ามีน้ำเข้าไปปะปนในขณะที่เราขับลุยน้ำหรือไม่ เช่นเดียวกับที่เราตรวจดูน้ำมันเครื่อง ส่วนมากน้ำจะเข้ามาทางรูหายใจ ถ้าพบว่ามีสีเปลี่ยนไปจากเดิม หรือไม่แน่ใจ ควรเปลี่ยนน้ำมันใหม่ทั้งหมดจะดีกว่าครับ ค่าน้ำมันเกียร์ เฟืองท้าย ราคาถูกกว่าการเปลี่ยนชุดขับเคลื่อนใหม่หลายเท่าตัวและทำได้ง่ายกว่าเยอะเลยครับ
นอกจากนี้ยังควรตรวจดูยางหุ้มเพลามีการฉีกขาดหรือหลุดออกจากที่ติดตั้งไว้หรือไม่ เพราะอาจทำให้น้ำหรือฝุ่นเข้าไปทำลายเพลาขับเราเสียหายได้ ตรวจสอบพวกจารบีหรือสารหล่อลื่นในการขับเคลื่อนต่างๆ หรือตามจุดหมุนของล้อ ที่อาจจะลดปริมาณลงจากการที่เราไปขับลุยน้ำมา
3.ตรวจเช็กระบบเบรกทั้งหมด ให้มีสภาพพร้อมในการใช้งาน แม้ว่าเบรคมักจะมีปัญหาในช่วงขณะขับลุยน้ำเพราะมักจะเบรคไม่อยู่ในช่วงแรกๆ จากความเปียกชื้น แต่หลังจากที่เราลุยน้ำจบแล้ว ตรวจเช็กด้วยก็จะเป็นสิ่งที่ดีครับเพราะระบบเบรคจะมีผลโดยตรงในเรื่องของความปลอดภัยของเราและผู้อื่นครับ
4.ตรวจเช็กระบบไฟที่อาจจะมีความชื้นจากการที่เราขับรถลุยน้ำ เพราะระบบไฟฟ้าไม่ถูกกันกับความชื้นอยู่แล้วครับ อาจใช้สเปรย์ไล่ความชื้นฉีดตามบริเวณระบบไฟที่อาจมีความชื้นอยู่ครับ นอกจากนี้ควรตรวจเช็กไฟส่องสว่าง ไฟสัญญาณ เช่น ไฟเบรก ไฟเลี้ยว รวมไปถึงไฟฉุกเฉินที่เราจะใช้ในกรณีที่เราต้องการให้อื่นมองเห็นในขณะที่เราต้องจอดรถไว้ในยามฉุกเฉิน ไฟแบบนี้เราจะไม่เปิดในขณะรถวิ่งอย่างเด็ดขาดเพราะจะเกิดความสับสนกับผู้ที่ขับตามมาซึ่งอาจคิดว่ารถเราจอดอยู่ และจะเป็นการรบกวนสายตาผู้อื่นโดยเฉพาะในขณะฝนตกหนัก ในขณะขับรถท่ามกลางทัศนวิสัยที่เลวร้ายแล้วเราอยากให้รถคันอื่นสังเกตุเห็นรถของเราแค่เปิดไฟใหญ่ หรือไฟตัดหมอก หน้า-หลัง ก็เพียงพอสำหรับความปลอดภัยแล้วครับ
5.ตรวจเช็กดูว่า หลังจากที่เราขับลุยน้ำท่วม มีน้ำเข้ามาในห้องโดยสารบริเวณพรมปูพื้นรถหรือไม่ ถ้าผ่านไปสัก 1-2 วันแล้ว ยังมีกลิ่นเหม็นอับชื้นภายในห้องโดยสาร ขั้นแรกเราอาจจะลองนำรถไปจอดตากแดดในที่โล่ง เปิดประตูทิ้งไว้เพื่อให้กลิ่นอับต่างๆ หายไป แต่ถ้ายังคงมีกลิ่นอับชื้นอยู่ หรือในขณะลุยน้ำท่วม เห็นน้ำไหลเข้ามาในรถ แนะนำให้ถอดเบาะเพื่อนำพรมปูพื้นรถออกมาซัก ทำความสะอาด ตากแดดไว้จนแห้งสนิท แล้วจึงนำมาประกอบกลับเข้าไปนะครับ
แต่ถ้าบริเวณที่เราต้องขับรถผ่านมักมีน้ำท่วมสูงเป็นประจำ เราอาจจะถอดพรมเก็บไว้ที่บ้าน ปูไว้แต่แผ่นพลาสติครองพื้นก็พอ หลังจากหมดหน้าฝนค่อยนำพรมกลับมาติดตั้งไว้ที่เดิม เพราะมีโอกาสที่น้ำจะเข้ารถบ่อย เราจะได้ไม่ต้องถอดพรมออกเพราะไปจ้างตามร้านคาร์แคร์ถอดซักพรมจะมีค่าใช้จ่ายหลักพันขึ้นไป
จะเห็นได้ว่า ข้อเสียจากการที่เราขับรถลุยน้ำลึกมีมากมาย มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ค่าถอด-ซักพรม และอาจมีความเสียหายที่เรามองไม่เห็นเกิดขึ้นได้ครับ แต่ถ้าเราทิ้งไว้ไม่สนใจดูแล ค่าใช้จ่ายจากความเสียหายอาจจะมีหลักหมื่นถึงหลักแสน จุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้คือ การหลีกหนีที่จะเอารถเสี่ยงเข้าไปลุยน้ำท่วมสูง เช่น ถ้าได้รับข่าวว่าบริเวณที่เราจะต้องขับรถไปมีน้ำท่วมสูง อย่าชะล่าใจ ขับรถผ่านเข้าไปโดยคิดว่าไม่เป็นไร ควรหาเส้นทางอื่นหรือจอดรถไว้ในที่ปลอดภัยดีกว่าครับ
หาพาหนะอื่นหรือรถสาธารณะในการขับผ่านเข้าไปในจุดดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า แต่ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องขับลุยผ่านไปหรือเหตุผลในเรื่องของความปลอดภัย ไม่สามารถจอดหรือหลีกเลี่ยงได้ หลังจากลุยน้ำอย่าลืมทำตามหัวข้อที่แนะนำไปในวันนี้นะครับ เราก็จะมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่น้อยลงกว่าการที่เราปล่อยผ่านไปโดยไม่ใส่ใจได้อย่างแน่นอนครับ !
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ สวัสดีครับ !
ขอบคุณข้อมูลจาก : อัฐฒา นายเรือ
ออกรถครั้งใด นึกถึง อีซูซุประชากิจ จันทบุรี นะคะ
ช่องทางติดต่อ ประชากิจ
CallCenter : 086-555-5245
Facebook : https://www.facebook.com/prachakij/
LineID : @prachakij
web-site : www.prachakij.com